การทำงานของ MDCT ได้รับการพัฒนาต่อมาจาก Dualslice CT. ที่พัฒนาโดยบริษัท Elscint ที่ใช้ชื่อทางการค้าว่า Dual slices CT. scanner Elscint CT-Twin โดยความร่วมมือในการพัฒนากับบริษัท Picker ซึ่งใช้ชื่อรุ่นว่า Mx-Twin ภายใต้เครื่องหมายการค้าของ Picker) โดยปรับปรุงให้เครื่อง Single spiral CT มี Detector 2 แถวแทนระบบเดิมที่มีแถวเดียวและพัฒนาให้ Software มีความสามารถในการรับข้อมูลพร้อมๆกันจาก Detector ทั้งสองแถว ซึ่งทำให้การเก็บข้อมูลทำได้รวดเร็วกว่าเครื่อง Spiral ธรรมดาอีกเท่าตัว ส่งผลต่อเวลาในการ scan ผู้ป่วยลดลงครึ่งหนึ่ง นอกจากนั้นยังสามารถเก็บข้อมูลและสร้างภาพได้รวดเร็วกว่า single slice spiral
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นในปี คศ.1998 เมื่อบริษัท
Siemens ได้เปิดตัวเครื่อง
4 Slices CT.
scanner ขึ้นในรุ่น Somatom
Volume Zoom 4 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่อง
Multislices รุ่นแรกๆ
ของการพัฒนาที่ทำให้การสร้างภาพ ด้วย 4 Slices CT. ลดเวลาลงไปเหลือเพียงหนึ่งในสี่ (25%)
ของเครื่อง
spiral CT.scanner ทำให้มีการพัฒนา Multislices
CT. แข่งขันกันอย่างรวดเร็วจนถึงปัจจุบัน
การตรวจ CT. whole abdomen สามารถกระทำได้ในช่วงการกลั้นใจของผู้ป่วยเพียงครั้งเดียว
(Single breath hold CT. scan ด้วยเครื่อง
256-320 Slices CT.
scanner)
Multidetector Computed Tomography
(MDCT) หรือMultislices
Computed Tomography (MSCT)
เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาในช่วง
1998 จนถึงปัจจุบัน
(และคาดว่ายังมีแนวโน้มพัฒนาต่อไปอีกนาน)
เป็นเครื่อง CT.
spiral ชนิดหนึ่งที่ใช้
Multiple Arrays Detector ซึ่งมีแถวของ
Detector จำนวน
4 ,8 หรือ 16
แถวทำให้การ Scan
ภาพครั้งหนึ่งๆ
สามารถเก็บข้อมูลครั้งละ 4-16 Slices ตามจำนวนแถวของ Detector ทำให้การ Scan ได้พื้นที่มากและเวลาในการตรวจสั้น
อีกทั้งยังทำให้การเก็บข้อมูลละเอียดมากขึ้น โดยมี DAS ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลแต่ละชุด Detector
ซึ่งเป็น Analog
data มาแปลงให้เป็น Digital
data ที่เหมาะสมต่อการนำไปประมวลผลสร้างภาพต่อไป
รูปที่ 14 เครื่อง 16 slices
MDCT รุ่น Aquilion16 ของ Toshiba
เครื่อง Multi Detector CT. นอกจากจะใช้ Detector หลายแถวแล้วยังมีความเร็วในการหมุนหลอดเอกซเรย์และ
DAS ที่เก็บข้อมูลได้เร็วมาก
รวมทั้งการประมวลผลแบบ Multi CPU ทำให้การสร้างภาพเกิดขึ้นเกือบทันทีที่ลำรังสีผ่านตัวผู้ป่วยไปยัง
Detector (ปัจจุบัน
Acquisition time ประมาณ
0.5-0.7 วินาที)
อย่างไรก็ตามการพัฒนาเครื่อง
Multi slices CT. ยังก้าวหน้าต่อในเรื่องการปรับรูปร่างของ
Detector arrays แต่เดิมจะเป็นแถว
Detector ที่มีขนาดของ
Detector แต่ละตัวเท่าๆ
กัน ทำให้มีปัญหาในเรื่องของการเก็บสัญญาณของบริเวณขอบด้านในของ Detector เนื่องจากลำรังสีจะออกมาในลักษณะ
Diverted ออกเพื่อให้คลุม
Detector arrays ทุกแถว
ทำให้ Detector ที่อยู่ห่างจากแนวกลางลำรังสีได้รับความเข้มรังสีน้อยกว่าที่ควร
ซึ่งเรียกว่า Dead area ส่งผลให้ปริมาณความเข้มของรังสีที่ตกกระทบ
Detectors น้อยกว่าที่ควร
ทำให้ S/N Ratioมีค่าน้อยทำให้
Spatial resolution ต่ำ
เมื่อเปลี่ยนลักษณะ Detector arrays ให้มีขนาดที่แตกต่างกันโดยแนวกึ่งกลางรังสีจะมีขนาดเล็กแต่
Detector ที่อยู่ห่างแนวกลางรังสีมีขนาดที่กว้างขึ้นส่งผลให้ปริมาณรังสีที่ได้รับเพิ่มมากขึ้น
ค่าเฉลี่ยความเข้มรังสีของ Detector
array ทุกๆ แถวจะเท่ากัน ลักษณะของสัญญาณที่ได้มีลักษณะ
Uniform มากขึ้น
S/N Ratio สูงขึ้นทำให้ภาพที่ได้มี
Resolution สูงขึ้น
(picture: Seeram, 2001)
รูปที่
15 (A: รูปซ้ายมือบน)
ลักษณะลำรังสีของ single slice CT (1 แถว detector) เป็น fan beam และกำหนดขนาด
slice thickness
ด้วยความกว้างของ collimator
(B: รูปซ้ายมือล่าง) ลักษณะลำรังสีของ
4 slice MDCT (4 แถว detector) เป็น cone beam และกำหนดขนาด
slice width ด้วย Interpolation
reconstruction data (เรียกว่า
fan beam image reconstruction)
(รูปขวามือ) รูปแสดง Con beam และ detector row ชนิด 36 detector และการเก็บข้อมูลสร้างภาพ (DAS)
ปัจจุบันเครื่อง MDCT มีความทันสมัยมากขึ้นทั้งในเรื่องของความสามารถของการสร้างภาพ
ความเร็วในการ scan ฟังก์ชั่นการตรวจอวัยวะที่เคลื่อนไหวเช่น
หัวใจ ปอดหรือแม้แต่ลำไส้ ก็สามารถตรวจด้วยเครื่อง MDCT ในอัตราระยะ 120 mm .ต่อวินาที (Aquilion 64)
(picture: Seeram, 2001)
รูปที่
16 (A) แสดง
coordinate ของแนวการ
scan ผ่านแกนกลาง
(z) ของ
เครื่อง 4 slice MDCT (B) ภาพแนวตัดขวางของ
Beam รังสีผ่านแนวแกน
z ของ เครื่อง
4 slice MDCT
Pitch ratio ของเครื่อง
MDCT
เนื่องจากเครื่อง MDCT มีจำนวนแถวของ Detector หลายแถวทำให้ขอบเขตลำรังสีค่อนข้างกว้างและมีลักษณะเป็น cone beam แทนที่จะเป็น fan
beam ดังนั้นการคำนวณหาค่า Pitch ในเครื่อง
MDCT จะมีสองลักษณะคือ
1. Pitch หรือ Beam
pitch หรือ Collimator Pitch เป็นค่า
Pitch ที่ Taguchi และ Aradate (1998) ได้นิยามไว้ในช่วงที่มีการสร้างเครื่อง
Spiral CT
ซึ่งกำหนดระยะห่างของกึ่งกลางลำรังสีที่ออกมาแต่ละครั้ง
ซึ่งจะพิจารณาเช่นเดียวกับใน single spiral CT.คือ
Beam Pitch หรือ [Table feed per rotation / Beam width]
·Beam width เป็นความกว้างของลำรังสีที่เปิดออกครอบคลุม
detector ทุกแถวที่ใช้
·Beam Pitch = 1 แสดงว่าไม่มีการซ้อนทับหรือเกิดช่องว่างของข้อมูล
·Beam Pitch < 1 แสดงว่ามีการซ้อนทับของการเก็บข้อมูล
·Beam Pitch > 1 แสดงว่ามีช่องว่างของการเก็บข้อมูล
โดย ถ้า Beam Pitch มีค่าเท่ากับ 1 จะไม่มีการซ้อนทับของลำรังสีในการเก็บข้อมูลเลยแต่ถ้า
มีค่าน้อยกว่า 1
แสดงว่าการเก็บข้อมูลมีการซ้อนทับของลำรังสี (Overlapping slice data) เหมาะสำหรับการตรวจที่ต้องการสร้างภาพแบบพิเศษในภายหลังเช่น
MIP, MPR หรือ
3-D volume rendering แต่การ
scan แบบนี้จะใช้เวลามาก
และหากมีค่ามากกว่า 1 แสดงว่าการเก็บข้อมูลมีระยะห่างกันของลำรังสี
(Spacing slice data) ซึ่งให้ภาพที่หยาบเหมาะสำหรับการตรวจที่ต้องการความรวดเร็ว
(picture: Siemens Medical 2004)
รูปที่ 17 แสดงภาพจำลองลำรังสีของเครื่อง 4 slice MDCT ที่ใช้ค่า Pitch ต่างกัน
(A) Pitch = 1 (B) Pitch = 0.5 (C) Pitch = 1.2 (D) Pitch
= 1.5
ในการสร้างภาพด้วยเครื่อง MDCT.
การกำหนดค่า Pitch
ที่เหมาะสมจะมีค่าอยู่ระหว่าง
–
0.5 – 1.8 ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคุณภาพของภาพและปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ
หากตั้งต่า Pitch มากจะทำให้คุณภาพด้อยลง
และถ้าใช้ค่าน้อยจะทำให้ผู้ป่วยรับปริมาณรังสีมาก
ดังนั้นผู้ใช้งานควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเลือกใช้พารามิเตอร์ที่เหมาะสม
2. Helical
Pitch หรือ Detector
Pitch เป็นค่าที่กำหนดโดย
Kalender (1997) ว่าเป็นค่าที่บ่งบอก
ลักษณะการเก็บข้อมูลว่ามีการต่อเนื่อง
ซ้อนทับ หรือห่างกันของข้อมูลโดยเปรียบเทียบตัวเลขค่าที่ได้กับจำนวนแถวของ detector
เช่น ถ้าเป็นเครื่อง MDCT ชนิด N detector row เมื่อหาค่า helical
pitch ได้เท่ากับ N
แสดงว่าการเก็บข้อมูลไม่มีการซ้อนทับหรือมีช่องว่างระหว่างลำรังสี
แต่ถ้ามีค่าต่ำกว่า N แสดงว่ามีการเก็บข้อมูลที่ซ้อนทับกันของลำรังสี
และหากมีค่ามากกว่า N
แสดงว่ามีการเก็บข้อมูลมีช่องว่างระหว่างลำรังสี
Helical pitch = [Tables feed per rotation/ one detector width]
·
Helical pitch = N แสดงว่าไม่มีการซ้อนทับหรือเกิดช่องว่างของข้อมูล
(N = จำนวนแถว
detector ของ
MDCT
·
Helical pitch < N แสดงว่ามีการซ้อนทับของการเก็บข้อมูล
·
Helical pitch > N แสดงว่ามีช่องว่างของการเก็บข้อมูล
ตัวอย่าง การสร้างภาพด้วยเครื่อง 4
Slices MDCT ที่ใช้ Collimation
เท่ากับ 4 x 1.0 mm . โดยใช้ Table speed 6 mm ./rotation เมื่อหาค่า Beam pitch และ Helical pitch จะมีค่าเท่ากับ 1.5 และ 6ตามลำดับ
จะเห็นว่าการเก็บข้อมูลครั้งนี้มีช่องว่างระหว่าง จุดกึ่งกลางลำรังสีห่างจากกันเท่ากับ
1.5 เท่าของความกว้างของลำรังสี และมีจุดกึ่งกลางลำรังสีของแต่ละแนวลำรังสีห่างกันเป็น
6
เท่าของความกว้างของ collimation
ที่ใช้ (หรือ 1 detector)
(picture: Siemens Medical 2004)
ในการปรับตั้งพารามิเตอร์ก่อน
scan
มักจะใช้ค่า Pitch มากกว่า
ที่จะใช้ Detector pitch เพราะสามารถคำนวณหรืออธิบายได้ง่ายกว่าการหาระยะห่างที่เกิดจาก
detector ในตำแหน่งเดียวกัน เนื่องจาก
Pitch (Beam) แสดงระยะห่างของจุดกึ่งกลางรังสีของแต่ละรอบเหมือนแสดงในรูป
การสร้างภาพของเครื่อง
MDCT (Image Reconstruction in MDCT)
เทคนิคการเก็บข้อมูลของเครื่อง
MDCT จะเป็นแบบ
Cone beam
ซึ่งให้ขอบเขตของการเก็บข้อมูลในแต่ละรอบการ scan กว้างกว่า Single slice
spiral CT. ประมาณเท่ากับ
n detector row ที่ใช้แต่ละเครื่องทำให้เครื่อง
MDCT มีความซับซ้อนในการเก็บข้อมูลมากกว่า
Spiral CT. เป็นอย่างมาก
จากเดิมที่ spiral CT.
จะใช้เทคนิค 180 degree Linear Interpolation algorithm แต่ใน MDCT จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า
MUSCOT (Multislice Cone beam Tomography reconstruction algorithm)
ในการเก็บข้อมูลแบบ
180 degree Linear Interpolation algorithm จะกำหนดตำแหน่งสองตำแหน่งที่
interpolate ต่างกัน 180
องศา ของการ
scan ซึ่งเรียกระยะห่างของตำแหน่งทั้งสองนี้ว่า
z-gap distance (Hu, 1999.) ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์กลับระหว่างค่า
z-gap
กับคุณภาพของภาพที่ได้ กล่าวคือถ้า z-gap มากคุณภาพของภาพก็จะด้อยกว่า z-gap ที่มีค่าน้อย
และนอกจากนั้นแล้วยังสัมพันธ์กับค่า pitch ด้วยคือถ้าค่า pitch มีค่ามากจะทำให้ค่า z-gap มากตามไปด้วย
ซึ่งความเข้าใจในส่วนนี้จะนำไปสู่การพัฒนาวิธีการสร้างภาพของเครื่อง MDCT
(picture: Hu, 1999) รูปที่ 19 การเก็บข้อมูลด้วยเทคนิค Special
fan beam reconstruction algorithm
เครื่อง 4 slice MDCT
การสร้างภาพของ MDCT
จะแตกต่างไปจากเครื่อง
Spiral CT.
เนื่องจากลักษณะของการเก็บข้อมูลเป็นแบบ Cone beam แทนการใช้ Fan beam ซึ่งเรียกเทคนิคการสร้างภาพของ
MDCT ได้นำเสนอโดย Wang และคณะในปี 1997 ซึ่งเทคนิคการคำนวณค่อนข้างซับซ้อนมากกว่า
standard interpolation แต่ภายหลังพบว่าไม่เหมาะสำหรับการสร้างภาพทางการแพทย์
ต่อมา Hu, Taguchi
และ Aradate (1999)
ได้มีการพัฒนาเทคนิคที่เรียกว่า Special fan beam reconstruction ที่ออกแบบสำหรับ MDCT โดยเฉพาะ
จากรูปที่ 19 การเก็บข้อมูลของเครื่อง
4 slice MDCT จะเห็นว่าที่ความต่างกันของข้อมูลในตำแหน่ง
360 องศา
จะมีระยะห่างกันเท่ากับ s และที่การเก็บข้อมูล
180 degree จะเท่ากับระยะทาง
s/2 ซึ่งเป็นค่า
z-gap ใน singling
slice spiral CT แต่ใน
MDCT จะพบว่า z-gap
คือระยะ d จะสัมพันธ์กับค่า Helical
Pitch ที่ใช้ โดยพบว่า
ในรูปที่ 20
เมื่อใช้ค่า helical pitch 2:1 จะเห็นว่าระยะห่างระหว่างตำแหน่งที่จะ
interpolate คือระยะ
z-gap
จะมีค่าเท่ากับ d
ซึ่งจะซ้อนทับกับข้อมูลที่จะมายังตำแหน่งนี้ในเวลาถัดไปทันที
(เส้นประและเส้นทึบซ้อนกัน)
ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้องศาการเก็บข้อมูลที่มีค่ามากเกินไปใน z-sampling ทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง slice
ยังคงเหลืออยู่เท่ากับระยะ
d ส่งผลให้ภาพที่ได้ไม่ดีมากนัก(Hu,
1999) เมื่อเพิ่ม Helical
pitch จาก 2:1
เป็น 3:1 ผลคือทำให้ z-gap เหลือเพียง d/2 ซึ่งสั้นเพียงพอที่จะสร้างภาพให้มีคุณภาพสูงด้วยความเร็วในการเคลื่อนที่โดยไม่เกิด
motion artifacts
รูปที่
20 (A) แนวการ
reconstruction
ของเครื่อง 4 slice MDCT. ที่ใช้ pitch 2:1 (B) ใช้ pitch 3:1
รูปที่
21 data set ของ
spiral CT. ในการเก็บข้อมูลเพื่อสร้างภาพด้วยเทคนิค
180๐ LI algorithm
z-interpolation in Multislice Spiral CT (180๐ MLI)
ในการคำนวณตำแหน่งข้อมูลเพื่อสร้างภาพของเครื่อง
Spiral CT. จากรูป 21
การสร้างภาพด้วยเทคนิค
180๐ LI algorithm จะเลือกตำแหน่ง z “ กับ z ‘+d ในการคำนวณหาข้อมูลเพื่อกำหนด interpolation
data plane ในการคำนวณหาตำแหน่ง z-interpolation ของ MDCT จะใช้
รูปแบบการเก็บข้อมูลของเครื่อง 4 slice MDCT (M=4) เป็นต้นแบบในการอธิบายครั้งนี้
รูปที่ 22 (A) การทำ z-interpolation ในเครื่อง MDCT (180 ๐ MLI)
พบว่าลำรังสีจะเคลื่อนตำแหน่งต่างๆ
ต่อเนื่องกันไปโดยมีระยะห่างระหว่างลำรังสีเท่ากับ d และความกว้างของแต่ละ
collimation เท่ากับ S ( Slice
collimation ของการตรวจนี้เท่ากับ
4 x S) การเลือกตำแหน่งที่มีความต่างกันจะกำหนดจากตำแหน่งที่ใกล้กันมากที่สุดของ
slice sensitive profile (SSP) ที่ในแนวแกน
z มากที่สุดมาสร้างเป็น
interpolation plane ซึ่งค่า
ระยะห่างระหว่าง data plane
เท่ากับ S เท่านั้น
z-Filtering in Multi slice Spiral CT (180๐MFI)
ในการเก็บข้อมูลของ MDCT จะเกิด Profile ของข้อมูลหลายๆ slice
ในแต่ละรอบที่หลอดเอกซเรย์หมุนผ่านผู้ป่วย(เคลื่อนที่) ทำให้เกิดตำแหน่งที่จะถูกกำหนดให้เป็นภาพ(Effective
slice) ในการ reconstruction
หลายตำแหน่งโดยมี
SSP ซ้อนๆ ต่อๆ กัน
ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการเลือก z-filter retrospective ในขอบเขตที่กว้ากว่าใน
single slice spiral CT. ซึ่งในรูปะเห็นว่ากำหนดความกว้างของ
z-filter เท่ากับ W
(สำหรับการ
reconstruction ZR interpolation image) ซึ่งกว้างมากและกระทำเช่นนี้ไปทุกๆ slice
รูปที่ 23 การทำ reconstruction image ด้วย
z-filtering (180๐ FLI)
(picture Siemens,2004)
รูปที่
24 (ซ้าย) แสดง Volume ของลำรังสีที่มีลักษณะเป็น
Cone beam
(ขวา)
ข้อมูลสร้างภาพในแนวแกน z
จะถูก interpolate โดยใช้จุดกึ่งกลางลำรังสีที่เก็บข้อมูล
ซ้อนทับกัน
รูปที่ 25 (A) Slice geometry ของ MDCT (B) Slice geometry ของ Single slice
หลักการเบื้องต้นสำหรับการคำนวณสร้างภาพด้วย
algorithm สำหรับ
MDCT
Algorithm ในการสร้างภาพด้วย
MDCT มีลำดับขั้นตอนที่อธิบายอย่างง่ายดังนี้
1. กำหนดให้ z-gap แคบหรือกว้างจะกำหนดโดยค่า pitch
ที่เหมาะสมด้วย interlace
sampling
2. คำนวณสร้างภาพ ในแนวแกน Longitudinal
interpolation ด้วย
z- filtering ที่กำหนดขนาดของ
filter
ที่ใช้ในการสร้างภาพเรียกว่า filter width (FW) พบว่า รูปร่างและความกว้างของ
filter
ที่ใช้ซึ่งส่งผลต่อ spatial resolution, noise และ คุณภาพของภาพที่ได้
3. การใช้ algorithm แบบ Fan beam
reconstruction ใช้คำนวณหาค่าของ
interpolation ของการสร้างภาพได้เฉพาะกรณีที่
detector ค่อนข้างแคบ
ซึ่ง Hu(1999) ได้ใช้รูปแบบ
multiple parallel fan beam
เพื่อใช้คำนวณสร้างภาพแทนใน MDCT ที่เก็บข้อมูลด้วยลำรังสีแบบ
Con beam (Volume acquisition data) ซึ่ง
Taguchi และ Aradate
(1998) ได้ใช้
algorithm
แบบเดียวกันนี้
4. Saito(1998)
ได้นำเสนอแนวคิดในการคำนวณสร้างภาพจากข้อมูลที่เป็นแบบ
cone beam โดยเฉพาะเรียกว่า
MUSCOT (Multislice Cone beam Tomography reconstruction method) พบว่า MUSCOT ให้คุณภาพของภาพดีกว่าใช้ Algorithm
อื่น (non-MUSCOT)ในกรณีที่ความเร็วในการ
scan สูงเป็นสามเท่าหรือมากกว่าของแบบ
single slice spiral CT จะเห็นภาพเกิด cone beam
effect
Algorithm ที่ใช้ในการสร้างภาพสำหรับ
MDCT ยังมีอีกหลาย
Algorithm ขึ้นกับการพัฒนาและเลือกใช้ของแต่ละผลิตภัณฑ์
โดยเฉพาะ ตั้งแต่
64 Slice MDCT
จะไม่ใช้ Algorithm พื้นฐานที่กล่าวไปแล้วแต่จะใช้
Algorithm ใหม่ๆ
เช่น ASSAR (Advanced Single Slice Rebinning: ASSR), HFI (Helical Filter Interpolation: Applying
fan-beam algorithm to cone-beam geometry), และ Applying Feldkamp
algorithm to cone-beam geometry นิยมใช้ในเครื่องใหม่ๆ
ในปัจจุบันเพราะแก้ปัญหา Cone beam effect (artifacts) ได้ดี เนื่องจาก
Interpolation profile ค่อนข้าง
Uniform (ตรง)
รูปที่
26 แสดง
แนวการ interpolate ตามแนวลำรังสีเพื่อสร้างภาพ
ตามวิธีการ ASSAR (Advanced Single Slice Rebinning: ASSR) แต่ Interpolation image ยังมีปัญหาเรื่อง
cone beam effect เนื่องจาก
pofile ที่ได้ยังไม่
Uniform โดยเฉพาะ
Slice profile ที่อยู่ขอบ
beam
รูปที่ 27 ASSR), HFI (Helical Filter Interpolation: Applying
fan-beam algorithm to cone-
beam
geometry), และ Applying Feldkamp algorithm to cone-beam geometry
ส่วนการใช้งานสำหรับการตรวจ Cardiovascular CT จะใช้ 180๐ MCI(Multi
slice Cardio Interpolation)
และ180๐ MCD (Multi slice
Cardio Delta) เป็นหลักในการ
scan โดยใช้ร่วมกับการทำ
ECG gating และ
protocol สำหรับการทำ
CT-Heart โดยเฉพาะซึ่งการ
scan จะคำนวณหาตำแหน่งการ
interpolation ในบริเวณ
,
รูปที่ 28 การตรวจ CT. heart จะต้องทำ ECG gating เพื่อ scan ในช่วงระหว่าง R-R
peak เพื่อ
ป้องกัน motion artifact
MUSCOT (Multi slice Cone beam Tomography Reconstruction
Method)
เป็น Algorithm ที่ออกแบบมาใช้กับ
MDCT ในตอนแรกๆ
ในเครื่อง 4-8 slice
MDCT มีข้อเสียคือหากใช้กับ
Beam รังสีที่กว้าง
(16-256 slice detector arrays) หรือใช้ความเร็วสูงในการ
scan หรือ
PITCH มากๆ
จะให้คุณภาพไม่ดี แต่ยังคงเหมาะสำหรับเครื่องที่ใช้ตรวจทั่วไป
แต่ไม่เหมาะสำหรับการตรวจหัวใจ
รูปที่
29 (A)
การสร้างภาพ Sequential reconstruction
(B) Spiral CT reconstruction
รูปที่ 30 การแสดงภาพที่ได้จากการสร้างภาพของ
MDCT จะเห็นว่าการ scan
และ reconstruction data กระทำไปพร้อมๆกัน ในทุก slice
profile
ทำให้ภาพแสดงออกทางหน้าจออย่างต่อเนื่อง
==========โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่อง ส่วนประกอบเครื่อง MDCT ============